ความเที่ยงตรงแม่นยำของค่าเวลาที่รับได้จากดาวเทียม GPS |
ก่อนที่จะพูดถึงความเที่ยงตรงของเวลาที่รับได้จากดาวเทียม GPS เรามาดูความเป็นมาของดาวเทียม GPS อย่างย่อๆ กันก่อน...
GPS ย่อมาจาก Global Position System เป็นระบบบอกตำแหน่งพิกัดบนพื้นโลก ระบบ GPS นี้ได้รับการพัฒนาโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา สำหรับใช้งานในทางทหาร เพื่อการคำนวณค่าตำแหน่งพิกัด และใช้ในการนำร่อง ได้ทุกจุดบนพื้นโลก แต่ระบบ GPS ยังสามารถนำมาใช้งานในทางพาณิชย์ เพื่อการนำทาง หรือเพื่อการสำรวจการทำเหมืองแร่ และป่าไม้ การใช้งานระบบนี้ประกอบด้วย องค์ประกอบหลัก 3 ส่วน คือ ภาคอวกาศ (Space Segment) ภาคพื้นโลก (Ground Segment) และภาคผู้ใช้ (Users Segment) |
|
|
ดาวเทียม GPS ภาคกำเนิดสัญญาณเวลาความแม่นยำสูง เป็นหัวใจสำคัญ ที่เป็นตัวกำหนด ความแม่นยำ ถูกต้อง ในการคำนวณตำแหน่งพิกัด ของ GPS Receiver ที่รับสัญญาณบนโลก หากภาคกำเนิดสัญญาณเวลา บนดาวเทียมดวงใด เสื่อมสภาพ หรือไม่มีความแม่นยำเพียงพอ ดาวเทียมดวงนั้น จะถูกปลดออกจากการใช้งาน ตามแผนงาน จะมีดาวเทียม โคจรทั้งหมด 24 ดวง และสำรอง 2 ดวง โดยมีการส่ง ดาวเทียมใหม่ เข้าสู่วงโคจร ตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อชดเชย ดาวเทียมที่เสื่อมสภาพ แต่เนื่องจากเทคโนโลยี่ ของดาวเทียม และ ภาคกำเนิดสัญญาณเวลาความแม่นยำสูง มีการพัฒนาตลอดเวลา ทำให้อายุการใช้งาน ของดาวเทียม ยาวกว่าที่คำนวณไว้ ดาวเทียมจำนวนมาก ยังอยู่ในภาวะใช้งานได้ปกติ ถึงแม้จะอยู่ในวงโคจร มานานกว่า 8 ปี (อายุขัยเฉลี่ย ของดาวเทียม) ทำให้ปัจจุบัน มีดาวเทียม อยู่ในวงโคจร ที่ใช้งานได้ จำนวนมากกว่า 30 ดวง ซึ่งเป็นประโยชน์ ต่อผู้ใช้งาน ระดับชั้นของเครื่องเทียบเวลา
(Stratum) |
เนื้อหาข้างบนได้คัดลอกบางส่วนมาจาก |
จะเห็นได้ว่าสิ่งสำคัญในการระบุตำแหน่งบนพื้นโลกด้วยสัญญาณดาวเทียม GPS นั้นจะต้องอาศัยฐานเวลาที่มีความแม่นยำและเที่ยงตรงสูง ที่ถูกส่งลงมาจากดาวเทียม GPS ที่โคจรอยู่รอบโลกที่ความสูงประมาณ 20,200 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก (วัดในแนวตั้งฉากกับพื้นโลก) โดยในดาวเทียม GPS แต่ละดวงจะมีตัวกำเนิดค่าเวลาจากนาฬิกาอะตอมมิคแบบซีเซียม ซึ่งถือได้ว่าให้ค่าเวลาเที่ยงตรงที่สุดอยู่ในปัจจุบันนี้ สัญญาณไฟฟ้าที่ถูกส่งลงมาจากดาวเทียม GPS จะต้องเดินทางไกลกว่าสองหมื่นกว่ากิโลเมตร นั่นเท่ากับว่าเกิดความล่าช้าของสัญญาณนาฬิกาที่ถูกส่งลงมาด้วย (ค่าความเร็วของสัญญาณไฟฟ้าเดินทางในอากาศมีความเร็ว 299.8 ล้านเมตรต่อวินาที หรือ 299,800 กิโลเมตรต่อวินาที) และจากการที่ดาวเทียมโคจรไปรอบ ๆ โลกด้วยนั้นทำให้เกิดระยะทางจากตัวดาวเทียมถึงอุปกรณ์รับสัญญาณต่างกันออกไป เราจะมาดูเฉพาะดวงที่อยู่ใกล้สุด กับดวงที่อยู่ไกลสุดก็พอ |
จากภาพด้านบน
จะเห็นว่าดาวเทียมดวงที่อยู่ใกล้เรามากที่สุดคือดวงที่โคจรมาอยู่ตรงหัวเราพอดี
ซึ่งจะมีระยะห่างจากพื้นดินถึงตัวดาวเทียม
20,200 กิโลเมตร
เมื่อเราใช้เครื่องรับ
รับสัญญาณจากดาวเทียมดวงนี้
เราสามารถคำนวณค่าผิดพลาดของเวลาได้ดังนี้ และดาวเทียมดวงที่ไกลสุดที่เรายังรับสัญญาณได้คือดวงทีโคจรไปอยู่ในตำแหน่งขนานกับแนวพื้นโลก
(อันที่จริงแล้วเป็นการยากมากที่จะรับดาวเทียมในแนวนี้ได้
เพราะว่าบนพื้นโลกเรามีสิ่งกีดขวางอยู่มากมาย
เช่นต้นไม้ ,
สิ่งปลูกสร้างต่างๆ
แต่ก็ขอกล่าวไว้ตรงนี้ให้ได้รู้ว่าเป็นดาวเทียม
GPS ที่อยู่ไกลสุด)
เราคำนวณระยะทางจากดาวเทียมดวงที่อยู่ไกลสุดถึงจุดรับสัญญาณดาวเทียมได้
25,783 กิโลเมตร
และเมื่อเราใช้เครื่องรับ
รับสัญญาณจากดาวเทียมดวงนี้
เราสามารถคำนวณค่าผิดพลาดของเวลาได้ดังนี้ จากผลการคำนวณจะเห็นได้ว่า ถ้าเรารับสัญญาณค่าเวลาจากดาวเทียมดวงที่อยู่ใกล้สุด ค่าเวลาที่เรารับได้จะช้ากว่าค่าจริงอยู่ 0.0674 วินาที (หรือ 67.4 มิลลิวินาที) และถ้าเรารับสัญญาณค่าเวลาจากดาวเทียม GPS ดวงที่อยู่ไกลสุด ค่าเวลาที่เรารับได้จะช้ากว่าค่าจริงอยู่ 0.0860 วินาที (หรือ 86 มิลลิวินาที) จากตัวเลขที่ออกมาจะเห็นได้ว่าค่าความคลาดเคลื่อนของเวลานั้นน้อยมาก ฉะนั้นเราถือได้ว่าค่าเวลาที่รับได้ด้วยเครื่องรับสัญญาณดาวเทียมนั้นยังมีความเทียงตรงกว่าการเทียบเวลาผ่านอินเตอร์เน็ตเสียอีก เพราะข้อมูลอินเตอร์เน็ตที่วิ่งผ่านอุปกรณ์เครื่องข่ายต่างๆ ย่อมมีคามล่าช้าในหน่วยเป็นวินาที สรุป ค่าเวลาที่แสดงด้วยเครื่องรับสัญญาณดาวเทียมจะช้ากว่าค่าจริงอยู่ในช่วง 0.0674 ถึง 0.0860 วินาที (หรือ 67.4 ถึง 86 มิลลิวินาที) ขึ้นอยู่กับว่าขณะนั้นเรากำลังรับสัญญาณจากดาวเทียมดวงไหน |
นาฬิกาแสดงเวลาจากดาวเทียมจีพีเอส (GPS CLOCK) ผลงานของนักศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้า (ปีการศึกษา 2/2554)
ติดตั้งอยู่ใต้อาคาร 20 หน้าห้องพักอาจารย์หลักสูตรวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มทร.ศรีวิชัย
ตั้งแต่ 18 เมษายน 2555
นาฬิกาแสดงเวลาจากดาวเทียมจีพีเอส
รุ่น ๒ (GPS CLOCK ver.2) ผลงานของนักศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้า (ปีการศึกษา
1/2555)
ติดตั้งโชว์ในงาน "สัมมนาและแสดงผลงานโครงการปริญญานิพนธ์นักศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้า"
ช่วงระหว่างวันที่ 1-3 เมษายน 2556